เสน่ห์อันยั่งยืนของงานแกะสลักหินอ่อน
นิยามความเป็นเลิศทางศิลปะผ่านหินอ่อน
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่หินอ่อนได้โดดเด่นเหนือวัสดุอื่นๆ ด้วยความสามารถอันน่าทึ่งในการแสดงถึงทักษะทางศิลปะและความงามเชิงภาพ ศิลปินมักมองว่าหินอ่อนเป็นสิ่งพิเศษ แทบจะเป็นตัวเลือกสูงสุดเมื่อสร้างสรรค์ประติมากรรม สิ่งใดที่ทำให้หินอ่อนแตกต่าง? ก็คือมันสามารถให้แสงผ่านได้เล็กน้อย ซึ่งทำให้มีประกายเรืองรองอันน่ามหัศจรรย์ และสามารถสลักรายละเอียดที่ละเอียดมากได้ในระดับที่หินชนิดอื่นๆ ไม่สามารถเทียบเคียงได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ศิลปินจำนวนมากเลือกใช้หินอ่อนเมื่อต้องการให้ผลงานของตนดูเหมือนมีชีวิตและเต็มไปด้วยมิติ ลองนึกถึงประติมากรรมอันน่าทึ่งของศิลปินเอกอย่างเบอร์นินีและไมเคิลแองเจโล ผลงานของพวกเขาก็แสดงให้เห็นถึงศักยภาพอันล้ำลึกของหินอ่อนได้อย่างชัดเจน เช่นผลงาน "อะโพลโลและดาโฟนี" ของเบอร์นินี ที่เขาถ่ายทอดรายละเอียดเส้นผมและใบไม้ที่เคลื่อนไหวได้อย่างน่าตื่นตะลึง หรือใครจะลืม "ดาวิด" ของไมเคิลแองเจโล ได้เล่าหรือ? พลังและความสง่างามที่แผ่ออกมาจากประติมากรรมชิ้นนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าทำไมหินอ่อนจึงยังคงมีความสำคัญในวงการศิลปะ ผลงานอันเป็นสัญลักษณ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่สวยงามเท่านั้น แต่ยังเตือนใจเราเสมอว่าทำไมหินอ่อนจึงยังคงเป็นวัสดุหลักสำหรับการแสดงออกทางศิลปะขั้นสูง
จากงานฝีมือโบราณสู่ความชำนาญในยุคใหม่
งานแกะสลักหินอ่อนมีประวัติศาสตร์อันยาวนานและน่าสนใจ ย้อนกลับไปในยุคโบราณเมื่อวัฒนธรรมแรกๆ เริ่มนำหินอ่อนอันงดงามนี้มาใช้ ช่างในยุคกรีกคลาสสิกได้ค้นพบถึงความแข็งแรงและเงางามของหินอ่อน ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างรูปปั้นที่สามารถคงอยู่ได้นานหลายศตวรรษ ตลอดเวลา ทั่วทุกมุมโลกต่างก็พัฒนาหินอ่อนเฉพาะถิ่นของตนเองขึ้นมา เช่น หินอ่อนคาลาคัตต้า (Calacatta marble) ที่มีลวดลายเส้นสายและสีสันอันงดงาม ซึ่งสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินผู้สร้างสรรค์งานทั่วทุกทวีป ปัจจุบัน ศิลปินผู้สร้างงานแกะสลักก็ผสมผสานเทคนิคแบบดั้งเดิมเข้ากับเทคโนโลยีทันสมัย หลายสตูดิโอใช้เครื่องจักร CNC ร่วมกับเครื่องมือแบบดั้งเดิม ขณะที่บางแห่งทดลองใช้ซอฟต์แวร์ออกแบบสามมิติก่อนจะเริ่มสัมผัสหินจริง นวัตกรรมเหล่านี้ไม่ได้แทนที่ประเพณีแต่อย่างใด หากแต่เป็นการต่อยอดจากทักษะความเชี่ยวชาญที่สั่งสมมานานหลายศตวรรษ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงยังคงได้เห็นผลงานหินอ่อนที่น่าทึ่งถือกำเนิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างมรดกของบรรพบุรุษเราและผลงานศิลปะที่กำลังถือกำเนิดขึ้นตามแกลเลอรี่ทั่วโลก
ความยอดเยี่ยมของวัสดุ: คุณสมบัติพิเศษของหินอ่อน
ความโปร่งแสงและความระยิบระยับในหิน
หินอ่อนมีความพิเศษอย่างไร? ลองสังเกตดูว่าแสงสามารถส่องผ่านเนื้อหินไปได้จริง ๆ เวลาที่ประติมากรทำงานกับหินชนิดนี้ จะมีแสงเรืองออกมาจากภายใน ทำให้ชิ้นงานโดดเด่นมาก แสงยังกระจายตัวอยู่บนพื้นผิวและสร้างเงาที่เปลี่ยนไปตามตำแหน่งที่คุณยืนอีกด้วย มีคนบอกว่าหินอ่อนให้ความรู้สึกเหมือนมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ ลองดูอย่างหินอ่อน Calacatta Oro ตัวอย่างเช่น ศิลปินหลายท่านชื่นชอบที่จะใช้หินอ่อนชนิดนี้ เพราะโทนสีขาวอันงดงามผสมผสานเข้ากับลายเส้นสีทองอร่ามที่วิ่งผ่านเนื้อหิน แสงที่ตกกระทบกับลายหินอ่อนนี้ สร้างเอฟเฟกต์ที่สวยงามน่าทึ่ง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมศิลปินถึงนิยมใช้หินอ่อนชนิดนี้เมื่อต้องการให้ผลงานของตนโดดเด่นและสะดุดตา
ความทนทานผสมผสานกับความสามารถในการทำงานด้านศิลปะ
หินอ่อนมีความโดดเด่นในเรื่องความทนทาน ซึ่งหมายความว่ารูปปั้นที่ทำจากหินอ่อนสามารถคงอยู่ได้นานหลายศตวรรษโดยที่สภาพจะเสื่อมโทรมน้อยมาก เพียงแค่ดูรูปปั้นและอาคารโบราณที่ยังคงยืนอยู่ในปัจจุบัน บางแห่งมีอายุร่วงหล่นถึงหลายร้อยปี แต่ยังคงดูน่าประทับใจอย่างมาก สิ่งที่ทำให้หินอ่อนน่าสนใจคือ แม้ว่ามันจะแข็งแรงมาก แต่ก็เหมาะสำหรับการแกะสลักเป็นพิเศษ ศิลปินสามารถสร้างลวดลายที่มีความละเอียดอ่อนได้อย่างยอดเยี่ยม เนื่องจากหินชนิดนี้ตอบสนองเครื่องมือแกะสลักได้ดี ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือรูปปั้นเดวิดของไมเคิลแองเจโล รูปปั้นนี้สามารถคงอยู่มาได้หลายศตวรรษ พร้อมทั้งรักษารายละเอียดอันน่าทึ่งไว้ได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือแม้กระทั่งรอยพับของเสื้อผ้า ดูเหมือนว่าหินอ่อนจะมีคุณสมบัติพิเศษที่ผสมผสานความแข็งแรงเข้ากับความสามารถในการแสดงให้เห็นถึงฝีมืออันยอดเยี่ยมของศิลปิน
ชนิดของคาลาคัตตา: โกลด์, โอโร, และบอร์กีนี
หินอ่อนคาลาคัตตามีหลายประเภทที่แตกต่างกัน แต่ละชนิดล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่นำมาสู่งานแกะสลัก ตัวอย่างเช่น คาลาคัตตาโกลด์ (Calacatta Gold) ที่โดดเด่นด้วยลายเส้นสีทองเข้มชัดเจน ทำให้ผลงานดูโอ่อ่าสง่างามอย่างน่าทึ่ง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในปัจจุบันนักออกแบบถึงชื่นชอบนำหินชนิดนี้มาใช้ ขณะเดียวกันก็มีคาลาคัตตาบอร์กินี (Calacatta Borghini) ที่มีโทนสีอ่อนนุ่มนวล ซึ่งศิลปินหลายคนพบว่าเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลมากเมื่อพวกเขาต้องการให้ผลงานของตนมีความสง่างามในแบบเรียบง่าย ไม่หวือหวา หินอ่อนแต่ละชนิดนี้ต่างเล่าเรื่องราวผ่านหิน ให้ศิลปินมีทางเลือกมากมายขึ้นอยู่กับอารมณ์หรือสาระที่ต้องการสื่อออกมาในงาน บางคนชอบความชัดเจนและโดดเด่น ในขณะที่บางคนชอบความละมุนละม่อน แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบใด ตัวเลือกหินอ่อนคาลาคัตตาก็ยังคงเปิดกว้างให้กับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการสร้างสรรค์งานศิลปะจากหินอ่อน
รากฐานแห่งคลาสสิก: หินอ่อนในศิลปะกรีกและโรมัน
อุดมคติของชาวกรีก: เทพเจ้าในรูปแบบมนุษย์
ศิลปินชาวกรีกโบราณใช้หินอ่อนในการสร้างสรรค์ผลงานที่แสดงถึงความงามอันเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามที่พวกเขาเห็นในรูปสลักต่าง ๆ ลองพิจารณาผลงานที่มีชื่อเสียงอย่างรูปปั้นวีนัสแห่งมิโล (Venus de Milo) เป็นตัวอย่าง ผลงานชิ้นนี้แสดงให้เห็นอย่างแท้จริงถึงความมุ่งมั่นของชาวกรีกในการถ่ายทอดลักษณะทางกายวิภาคของมนุษย์ออกมาให้แม่นยำที่สุด พร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงสัดส่วนอันสมบูรณ์แบบของร่างกายมนุษย์ที่ชาวกรีกโบราณให้ความชื่นชมอย่างมาก ตัวหินอ่อนเองมีลวดลายเนื้อในตัวที่ยอดเยี่ยม ทำให้ศิลปินสามารถแกะสลักใบหน้าและท่าทางได้ละเอียดมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรูปปั้นของเหล่าทวยเทพและนักรบผู้ยิ่งใหญ่มักถูกสร้างขึ้นจากหินอ่อนในสมัยนั้น เมื่อมองไปที่ผลงานเหล่านี้ ผู้ที่ได้สัมผัสจะรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่มีความศักดิ์สิทธิ์เกิดขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หินอ่อนกลายเป็นวัสดุหลักในการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของมนุษย์ให้กลายเป็นตัวแทนของสิ่งที่เหนือกว่ามนุษย์
นวัตกรรมของโรม: ภาพเหมือนและอำนาจ
ศิลปินชาวโรมันได้ผลักดันงานแกะสลักหินอ่อนให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น เมื่อพวกเขาเริ่มมีการสร้างภาพเหมือน ซึ่งกลายเป็นวิธีการหนึ่งที่ผู้คนใช้แสดงสถานะทางสังคมและความสำเร็จส่วนตัว ขณะที่ศิลปะกรีกมุ่งเน้นรูปแบบที่สมบูรณ์แบบ รูปปั้นของโรมันมักจะดูเหมือนจริงมากยิ่งขึ้น โดยสามารถจับภาพแสดงออกทางสีหน้าและลักษณะทางกายภาพที่ทำให้แต่ละบุคคลดูโดดเด่นและทรงพลัง ตัวอย่างเช่น รูปสลักหินอ่อนของจูเลียส ซีซาร์ — งานเหมือนในลักษณะนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานตกแต่งที่สวยงามเท่านั้น แต่ยังถูกใช้เพื่อเผยแพร่สาระสำคัญทางการเมืองไปทั่วจักรวรรดิ เพื่อให้ทุกคนรับรู้ว่าใครคือผู้ที่มีอำนาจที่แท้จริง สิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับงานหินอ่อนของโรมันคือความประณีตในการผลิต ความใส่ใจในรายละเอียดไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงทักษะทางศิลปะเพียงอย่างเดียว แต่สะท้อนถึงสิ่งที่สังคมโรมันให้คุณค่ามากที่สุดในช่วงเวลานั้น นั่นคือภาวะผู้นำที่แข็งแกร่ง และบุคคลที่มีความสามารถซึ่งสามารถกำหนดทิศทางของประวัติศาสตร์ได้
การฟื้นฟูศิลปะยุคเรเนซองส์: พาหินอ่อนไปสู่ระดับใหม่
ดาวิดของไม่เกลแองเจโล: หลักฐานแห่งความเชี่ยวชาญ
รูปปั้นดาวิดของไม่เกลแองเจโลได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์อันทรงคุณค่าที่สะท้อนถึงแก่นแท้ของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่งผสานความงามเข้ากับแนวคิดแห่งความยิ่งใหญ่ของมนุษย์ไว้อย่างลงตัว ด้วยความสูงกว่า 17 ฟุต ทุกนิ้ววัดของรูปปั้นนี้แสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์อันยอดเยี่ยมของไม่เกลแองเจโลในการทำงานหินอ่อน เขาแกะลายกล้ามเนื้อได้อย่างสมจริงจนแทบจะขยับเคลื่อนไหวได้ และใบหน้าที่แสดงอารมณ์ออกมาได้อย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดใดๆ เลย ผลงานชิ้นนี้สร้างขึ้นประมาณปี ค.ศ. 1504 ไม่ได้เป็นเพียงแค่ศิลปะเพื่อความงามเท่านั้น แต่ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งสำหรับเมืองฟลอเรนซ์ในยุคนั้น นั่นคือการแสดงถึงความแข็งแกร่งและความภาคภูมิใจของนครรัฐแห่งนี้ ผู้คนในสมัยนั้นมองว่าดาวิดไม่ใช่เพียงรูปสลักที่งดงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการที่เมืองฟลอเรนซ์สามารถยืนหยัดต่อสู้กับศัตรูที่ใหญ่กว่าได้ แม้จะมีขนาดเล็กกว่าก็ตาม วิธีที่ไม่เกลแองเจโลถ่ายทอดภาพลักษณ์ของฮีโร่ในพระคัมภีร์ยังคงสื่อถึงความมั่นใจและความทะเยอทะยานที่เป็นเครื่องหมายของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาได้อย่างลึกซึ้ง
เทคนิคที่สร้างความงามอันเป็นอมตะ
ยุคเรเนซองส์ได้นำเอานวัตกรรมที่สำคัญมาสู่วิธีการทำงานของศิลปินที่ใช้หินอ่อน โดยพวกเขาเริ่มใช้เทคนิคที่ทันสมัยอย่างการจัดท่าทางแบบคอนทรัปโปสโต (contrapposto) และวิธีการใช้ค้อนแต่งร่องแบบที่ดีกว่าเดิม ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน งานที่ทำก็คือการนำเอาหินอ่อนก้อนใหญ่มาเปลี่ยนให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิต แทบจะเหมือนกับว่ารูปสลักนั้นมีการเคลื่อนไหวหรือหายใจอยู่จริงๆ ลองนึกถึงรูปสลักดาวิดของไมเคิลแองเจโลดูสิ ดูสิว่าเขาสามารถถ่ายทอดความรู้สึกและท่วงท่าได้ลึกซึ้งเพียงใดในเนื้อหิน ศิลปินผสานประเพณีการสลักแบบดั้งเดิมเข้ากับเครื่องมือใหม่ๆ ที่มีอยู่ในยุคนั้น ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถสร้างงานที่มีรายละเอียดที่ประณีตมากยิ่งขึ้น ผลงานที่ได้ก็คือชิ้นงานที่งดงามอย่างยิ่ง ซึ่งผลักดันขีดจำกัดของสิ่งที่ผู้คนเคยคิดว่าเป็นไปได้ด้วยหินเพียงอย่างเดียว จนถึงทุกวันนี้ เรายังคงยืนตะลึงอยู่เบื้องหน้าผลงานอันยอดเยี่ยมเหล่านี้ และสงสัยว่าใครกันแน่ที่สามารถบรรจุรายละเอียดและความสมจริงอันน่าทึ่งเช่นนี้ไว้ในงานหินได้
นวัตกรรมยุคใหม่: การแกะสลักหินอ่อนในยุคปัจจุบัน
การทดลองแนวหน้าและการ trừภาพ
ในปัจจุบัน นักปั้นรูปสลักเริ่มหันมาใช้วิธีการที่แตกต่างจากวิธีการแบบดั้งเดิมเมื่อทำงานกับหินอ่อน สร้างสรรค์รูปแบบที่แปลกใหม่และนามธรรมที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ศิลปินหลายคนมักผสมผสานหินอ่อนเข้ากับโลหะ กระจก หรือแม้แต่องค์ประกอบแบบดิจิทัล ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของงานสลักหินอ่อนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง วิธีการใหม่ๆ เหล่านี้ได้ท้าทายแนวความคิดของผู้คนเกี่ยวกับงานศิลปะจากหินอ่อนอย่างชัดเจน และเปิดโอกาสให้เกิดการแสดงออกทางศิลปะที่หลากหลายและแตกต่างออกไป ปัจจุบันบางแกลเลอรี่มีการจัดแสดงนิทรรศการที่หินอ่อนไม่ได้ถูกสลักเพียงอย่างเดียว แต่ยังผสมผสานเข้ากับวัสดุที่ไม่คาดคิดอีกด้วย การผสมผสานเทคนิคเก่าแก่เข้ากับแนวคิดใหม่ๆ นี้ ทำให้เรามองเห็นหินอ่อนในแง่ของวัสดุทางศิลปะเปลี่ยนไป ทำให้มันดูไม่เหมือนโบราณวัตถุ แต่คล้ายสิ่งมีชีวิตที่มีการพัฒนาและปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
Calacatta Vagli ในการออกแบบยุคใหม่
Calacatta Vagli กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในวงการออกแบบในปัจจุบัน เนื่องจากลวดลายเส้นสายธรรมชาติที่สวยงามโดดเด่น ซึ่งสามารถเข้ากับทุกสไตล์ได้อย่างลงตัว เรามักจะเห็นหินอ่อนสุดงดงามชนิดนี้ถูกนำไปใช้ตกแต่งมากมาย ตั้งแต่ภายนอกอาคารหรูไปจนถึงงานประติมากรรมที่ทันสมัย ช่วยเพิ่มบรรยากาศให้พื้นที่นั้นๆ มีความลงตัวระหว่างเสน่ห์แบบคลาสสิกของยุคเก่าและรูปแบบทันสมัยในยุคใหม่ บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบภายในนิยมเลือกใช้ Calacatta Vagli ในงานระดับไฮเอนด์ เนื่องจากมันสามารถถ่ายทอดทั้งความสง่างามแบบหินอ่อนดั้งเดิม พร้อมกับเส้นสายที่เรียบง่ายตามแบบฉบับสถาปัตยกรรมยุคใหม่ได้อย่างไร้ที่ติ แนวโน้มในปัจจุบันดูเหมือนจะเน้นการผสมผสานระหว่างความงามแบบดั้งเดิมกับการใช้งานจริงในพื้นที่ชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมนักออกแบบจำนวนมากจึงหันมาสนใจวัสดุชนิดนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ
แกะสลักอนาคตด้วยหินอ่อนอมตะ
งานแกะสลักหินอ่อนยังคงมีการพัฒนาไปข้างหน้า โดยผสมผสานระหว่างฝีมืองานหัตถกรรมแบบดั้งเดิมกับเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน ศิลปินในปัจจุบันมีซอฟต์แวร์ดิจิทัลช่วยในการวางแผนออกแบบงานที่ซับซ้อนก่อนที่จะเริ่มลงมือแกะหินจริง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาสามารถสร้างสรรค์ผลงานที่มีรายละเอียดซับซ้อนมากยิ่งขึ้น พร้อมความแม่นยำที่ดีกว่าเดิม ความยั่งยืนกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นในวงการนี้ด้วย เนื่องจากการขุดหินอ่อนเคยก่อให้เกิดปัญหาทางสิ่งแวดล้อมมาตลอด ดังนั้น สตูดิโอจำนวนมากจึงมองหาทางเลือกอื่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นในการจัดหาวัสดุ ตอนนี้เรากำลังได้เห็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นเกิดขึ้น ศิลปินร่วมสมัยในปัจจุบันไม่ได้สร้างเพียงแค่รูปสลักหรือรูปปั้นอีกต่อไป แต่พวกเขากำลังสร้างงานติดตั้งขนาดใหญ่กระจายอยู่ทั่วเมือง จัดแสดงนิทรรศการที่ผู้ชมสามารถสัมผัสและเคลื่อนไหวชิ้นงานได้ด้วยตนเอง หรือแม้แต่ผสมผสานองค์ประกอบความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) เข้าไปในผลงานของพวกเขา ศิลปะแขนงนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และคนรุ่นใหม่กำลังผลักดันขีดจำกัดที่เราไม่เคยจินตนาการมาก่อนในยุคเรอเนสซองส์
Table of Contents
-
เสน่ห์อันยั่งยืนของงานแกะสลักหินอ่อน
- นิยามความเป็นเลิศทางศิลปะผ่านหินอ่อน
- จากงานฝีมือโบราณสู่ความชำนาญในยุคใหม่
- ความยอดเยี่ยมของวัสดุ: คุณสมบัติพิเศษของหินอ่อน
- ความโปร่งแสงและความระยิบระยับในหิน
- ความทนทานผสมผสานกับความสามารถในการทำงานด้านศิลปะ
- ชนิดของคาลาคัตตา: โกลด์, โอโร, และบอร์กีนี
- รากฐานแห่งคลาสสิก: หินอ่อนในศิลปะกรีกและโรมัน
- อุดมคติของชาวกรีก: เทพเจ้าในรูปแบบมนุษย์
- นวัตกรรมของโรม: ภาพเหมือนและอำนาจ
- การฟื้นฟูศิลปะยุคเรเนซองส์: พาหินอ่อนไปสู่ระดับใหม่
- ดาวิดของไม่เกลแองเจโล: หลักฐานแห่งความเชี่ยวชาญ
- เทคนิคที่สร้างความงามอันเป็นอมตะ
- นวัตกรรมยุคใหม่: การแกะสลักหินอ่อนในยุคปัจจุบัน
- การทดลองแนวหน้าและการ trừภาพ
- Calacatta Vagli ในการออกแบบยุคใหม่
- แกะสลักอนาคตด้วยหินอ่อนอมตะ